ที่มา รศ.ประภาส โฉลกพันธ์รัตน์ http://home.kku.ac.th/pracha/Marine%20Fish%20Care.htm
Post by เฮง ตู้ปลา
3 การตรวจสอบความเค็มของน้ำทะเล
หน่วยของความเค็มของน้ำทะเล หรือความเค็มของน้ำทางด้านการประมง นิยมใช้หน่วยเป็น ppt (ส่วนในพันส่วน) น้ำทะเลปกติจะมีความเค็มประมาณ 34 ppt ซึ่งหมายถึง ปริมาตรน้ำทะเล 1 ลิตร จะมีเกลือชนิดต่างๆละลายอยู่จำนวน 34 กรัม การผสมน้ำทะเลสังเคราะห์ตามสูตรต่างๆดังกล่าวมักจะได้น้ำที่มีความเค็มระหว่าง 30 - 35 ppt ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการเลี้ยงสัตว์ทะเล จะต้องทราบระดับความเค็มที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของสัตว์ทะเลแต่ละชนิด และก่อนปล่อยลงเลี้ยงควรตรวจสอบความเค็มของน้ำก่อน ซึ่งเครื่องมือและวิธีการตรวจสอบความเค็มของน้ำที่นิยมใช้มีดังนี้
3.1 ใช้เครื่องวัดความถ่วงจำเพาะของน้ำ ซึ่งเรียก Hydrometer ลักษณะเป็นหลอดแก้ว ปัจจุบันมีการผลิต Hydrometer ที่สำหรับใช้ในการเลี้ยงปลาตู้น้ำเค็ม โดยจะมีขีดที่แสดงถึงความถ่วงจำเพาะของน้ำทะเล น้ำทะเลปกติจะมีความถ่วงจำเพาะประมาณ 1.0002 ดังนั้นจะมีขีดที่แสดงระดับค่าความถ่วงจำเพาะ 1.0002 ไว้เด่นชัด เมื่อหย่อน Hydrometer ลงน้ำ ถ้าขีดนี้สูงกว่าผิวน้ำแสดงว่าน้ำมีความเค็มสูงกว่า 32 ppt แต่ถ้าขีดนี้จมใต้ผิวน้ำแสดงว่าน้ำมีความเค็มต่ำกว่า 32 ppt จากที่ได้กล่าวแล้วว่าสูตรของน้ำทะเลสังเคราะห์มักจะได้น้ำที่มีความเค็มมากกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อจุ่ม Hydrometer ลงน้ำ ขีดที่กำหนดจะอยู่สูงกว่าผิวน้ำ ให้เติมน้ำจืดลงไปทีละ 1 - 5 ลิตร แล้วแต่ขนาดของตู้ รอให้น้ำผสมเข้ากันดีจึงวัดด้วย Hydrometer อีกครั้ง ทำเช่นนี้เรื่อยๆจนขีดที่กำหนดอยู่ที่ผิวน้ำพอดี วิธีนี้จัดว่าเป็นการหาค่าของความเค็มอย่างคร่าวๆ แต่ก็ประหยัด ทำได้ง่ายและใช้ได้ดีกับการเลี้ยงปลาตู้ทะเล
3.2ใช้เครื่องวัดการหักเหของแสงซึ่งเรียก Refractometer หรือ Salinometer ลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก มีแป้นสำหรับหยดน้ำตัวอย่างและช่องอ่านค่า ซึ่งจะได้ค่าออกมาเป็น ppt เลย หาค่าได้รวดเร็วเพราะเมื่อหยดน้ำลงบนแป้น ปิดฝาแล้วมองอ่านค่าความเค็มของน้ำได้ทันที เป็นวิธีการที่ให้ค่าความเค็มที่ถูกต้องแน่นอน และสะดวกรวดเร็วมาก แต่เครื่อง Salinometer มีราคาค่อนข้างแพง จึงไม่ค่อยนิยมใช้กับผู้เลี้ยงปลาตู้น้ำเค็ม ซึ่งนานๆครั้งจึงจะมีการตรวจหาค่าความเค็ม และไม่ต้องการค่าที่แน่นอนมากนัก ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ในกิจการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
4 การเลือกชนิดปลาตู้น้ำเค็ม
ปลาทะเลที่นิยมเลี้ยงอยู่ในปัจจุบันมีจำนวนหลายกลุ่มและหลายชนิดที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ได้แก่ กลุ่มปลาการ์ตูน และปลาผีเสื้อ และก็มีปลาหลายชนิดที่จัดว่าเป็นปลากินเนื้อ ชอบหากินโดยการล่าเหยื่อ กับอีกหลายชนิดที่มีนิสัยเกเรก้าวร้าว จะไล่กัดปลาชนิดเดียวกันเองและชนิดอื่นๆอยู่เสมอ ดังนั้นการเลือกชนิดปลาที่จะเลี้ยงจะต้องศึกษาหรือสอบถามจากผู้ขายให้เข้าใจ ควรศึกษาให้ดีว่าปลาชนิดใดบ้างสามารถเลี้ยงร่วมกันได้ หรือชนิดปลาที่เห็นแล้วชอบอยากจะเลี้ยงนั้นมีนิสัยอย่างไร เลี้ยงหลายตัวรวมกันได้หรือไม่ เลี้ยงเป็นคู่ หรือควรเลี้ยงเพียงตัวเดียว จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจเลือกซื้อ
5 การให้อาหารปลาตู้น้ำเค็ม
ปลาทะเลหรือปลาตู้น้ำเค็มที่นิยมเลี้ยงกันในปัจจุบัน ยังมีความต้องการอาหารที่มีชีวิตค่อนข้างมาก ซึ่งอาจเป็นอาร์ทีเมียหรือปลาเหยื่อ ถึงแม้จะมีการผลิตอาหารสมทบ และฝึกหัดให้ปลากินอาหารสมทบได้บ้างก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงกลุ่มปลาการ์ตูนและปลาขนาดเล็กๆ การใช้อาหารธรรมชาติหรืออาหารมีชีวิตยังมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้เลี้ยงปลาทะเล เพราะจะช่วยให้ปลามีสุขภาพดี และไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อ ประกอบกับการนำพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังมาเลี้ยงร่วมด้วย เช่นพวกปะการัง และดอกไม้ทะเล สัตว์พวกนี้จำเป็นต้องกินอาหารมีชีวิตขนาดเล็กๆ เช่น ตัวอ่อนของอาร์ทีเมีย ดังนั้นผู้ที่ต้องการเลี้ยงปลาตู้น้ำเค็ม ควรจะต้องศึกษาการเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียให้เข้าใจ และควรลองฝึกหัดจนสามารถเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียได้ดี คือสามารถทำได้ทั้งฟักไข่ของอาร์ทีเมีย และเลี้ยงอาร์ทีเมียเป็นตัวเต็มวัยได้ด้วย ซึ่งอาร์ทีเมียตัวเต็มวัยจะใช้เป็นอาหารที่ดีสำหรับปลาที่เลี้ยง ส่วนตัวอ่อนของอาร์ทีเมียที่ฟักจากไข่จะใช้เป็นทั้งอาหารของปลาที่เลี้ยง และเป็นอาหารของพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่นำมาเลี้ยงประดับด้วย ส่วนปลาที่ล่าเหยื่อ เช่น ปลาสิงห์โต จะต้องใช้ปลาเหยื่อ ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้ลูกปลาขนาดเล็กที่เพาะพันธุ์ได้ง่ายๆ เช่น ลูกปลานิล ลูกปลาตะเพียนขาว และลูกปลายี่สกเทศ เพราะสามารถหาซื้อได้จากฟาร์มที่ผลิตลูกปลาน้ำจืดทั่วไป หรืออาจใช้จิ้งหรีด หรือหนอนนก
6 การตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆของน้ำ
การตรวจสอบคุณสมบัติของน้ำทะเลในการเลี้ยงปลาตู้น้ำเค็ม ก็ดำเนินการเช่นเดียวกับการเลี้ยงปลาสวยงามน้ำจืด ยกเว้นในเรื่อง pH ของน้ำ ซึ่งปกติในการเลี้ยงปลาสวยงามน้ำจืดควรให้มีค่าระหว่าง 6.5 - 8.5 แต่สำหรับน้ำเค็ม ค่า pH ที่เหมาะสมต่อการดำรงชีพของปลาทะเลควรอยู่ระหว่าง 8.0 - 9.0 เพราะน้ำทะเลปกติจะมีค่าpH อยู่ระหว่าง 8.2 - 8.4 และควรมีการตรวจสอบค่าแอมโมเนียด้วย
7 การเปลี่ยนถ่ายน้ำ
ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า การเปลี่ยนถ่ายน้ำในการเลี้ยงปลาสวยงามน้ำจืดนั้นจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง การเลี้ยงปลาทะเลก็เช่นเดียวกัน ปกติจะมองเห็นน้ำใสอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะมีการกำจัดเศษอาหารและตะกอนต่างๆออกไปได้ เนื่องจากมักจะมีระบบกรองน้ำที่ดี แต่การ เจือปนของสารที่ละลายอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะเกิดจากการขับถ่ายของปลา หรือการละลายจากอาหาร ไม่สามารถกำจัดออกโดยระบบกรองน้ำได้ ในสมัยก่อนการนำน้ำทะเลมาใช้ค่อนข้างยุ่งยาก การเลี้ยงปลาตู้ทะเลจึงมักไม่ค่อยมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ปลาที่เลี้ยงจึงมักตายอยู่เสมอ ในปัจจุบันนี้มีน้ำทะเลสังเคราะห์ช่วยให้เตรียมน้ำทะเลง่ายขึ้น ดังนั้นหากต้องการให้ปลามีสุขภาพดี มีสีสันสดใสและเติบโตดี ควรมีการล้างตะกอนอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนถ่ายน้ำเดือนละ 1 ครั้ง
หน้าที่เข้าชม | 25,301 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 16,595 ครั้ง |
เปิดร้าน | 26 ก.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 29 ก.ย. 2568 |